การเตรียมพร้อมก่อนเรียน
หัวข้อการเขียนแบบเบื้องต้น
เรื่องมาตรฐานการเขียนแบบ
และภาพสเก็ต
1.เครื่องมือและอุปกรณ์
1.1 โต๊ะเขียนแบบ
1.2 กระดาษเขียนแบบ
1.3 ไม้ที
1.4 บรรทัดสามเหลี่ยม
1.5 บรรทัดมาตราส่วน
1.6 บรรทัดเขียนส่วนโค้ง
1.7 แผ่นแบบ
1.8 วงเวียน
1.9 วงเวียนวัดระยะ
1.10 ปากกาเขียนแบบ
1.11 เครื่องเหลาดินสอ
1.12 เครื่องมือทำความสะอาด
1.13 ยางลบ
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบ
การปฏิบัติการเขียนแบบ ที่จะได้แบบงานที่ถูกต้องและเป็นมาตรฐาน จะต้องอาศัย ทักษะของผู้ปฏบัติการเขียนแบบรวมทั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเจียนแบบมีความสำคัญมากและได้คุณภาพงานที่เป็นมาตรฐานเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบมีดังนี้
ภาพที่ 1.2 โต๊ะเขียนแบบ
ภาพที่ 1.3 แสดงลักษณะของกระดานเขียนแบบและการใช้งานกับไม้ที 1.3 ไม้ที (T SQUARE)
ภภาพที่ 1.4 ลักษณะการใช้ไม้ทีเขียนเส้น
ภาพที่ 1.5 การจับไม้ทีในงานเขียนแบบ
ภาพที่ 1.6 ลักษณะการใช้บรรทัดสามเหลี่ยม
ภาพที่ 1.7 แสดงลักษณะของบรรทัดสามเหลี่ยมมุม 45 และ 30-60
ภาพที่ 1.8 แสดงลักษณะของบรรทัดสามเหลี่ยมชนิดปรับมุมได้
ภาพที่ 1.9 แสดงวิธีการแบ่งมุมด้วยบรรทัดสามเหลี่ยม 45
ภาพที่ 1.10 แสดงวิธีการแบ่งมุม 15 และ 75 ด้วยบรรทัดสามเหลี่ยม 45 และบรรทัดสามเหลี่ยม 30-601.5 บรรทัดมาตราส่วน (SCALE)
ภาพที่ 1.11 ลักษณะของบรรทัดมาตรส่วน
ภาพที่ 1 .12 ลักษณะการใช้บรรทัดเขียนส่วนโค้ง
ภาพที่ 1.13 รัศมีของโค้ง
ภาพที่ 1.14 แสดงลักษณะของแผ่นแบบรูปร่างต่างๆ และวิธีการใช้แผ่นแบบรูปวงกลมขนาดเล็ก
ภาพที่ 1.15 แผ่นแบบที่ใช้ในการเขียนแบบเทคนิค1.8 วงเวียน (COMPASS)
ภาพที่1.16 ลักษณะวงเวียนเขียนวงกลมเล็ก
ภาพที่ 1.17 ลักษณะของวงเวียนวงกลมโต1.83 วงเวียนคาน (BEAM COMPASS) เป็นวงเวียนที่ออกแบบสำหรับใช้เขียนวงกลมขนาดใาหญ่ซึ่งไม่สามารถเขียนด้วยวงเวียนธรรมดาได้
ภาพที่ 1.18 ลักษณะวงเวียนคาน 1.9 วงเวียนวัดระยะ (DIVIDERS)
ภาพที่ 1.19 การใช้งานวัดระยะแบ่งเส้น
ภาพที่ 1.20 ลักษณะของดินสอที่ใช้งานในวงเวียน 1.10 ปากการเขียนแบบ (DRAWING PEN)กระดาษไข ปากกาเขียนแบบประกอบด้วยหลอด และปลายเข็มใช้สำหรับเขียนเส้นที่มีขนาดความหนาของเส้นจะเพิ่มขึ้นตามอนุกรมก้าวหน้าเรขาคณิตคูณด้วย กระดาษไข ปากกาเขียนแบบประกอบด้วยหลอด และปลายเข็มใช้สำหรับเขียนเส้นที่มีขนาดความหนาของเส้นจะเพิ่มขึ้นตามอนุกรมก้าวหน้าเรขาคณิตคูณด้วย
ภาพที่ 1.21 ขนาดของเส้นที่เขียนจากปากกา1.11 ดินสอเขียนแบบ (DRAWING PENCIL)
ภาพที่ 1.22 ลักษณะของดินสอเขียนแบบ
ภาพที่ 1.23 การแบ่งเกรดของไส้ดินสอ1.12 เครื่องเหลาดินสอ (PENCIL SARPENERS) เครื่องเหลาดินสอเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ใช้ในงานเขียนแบบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานโดยเครื่องเหลาจะเหลาปอกเฉพาะเปลือกไม้ออกโดยจะปล่อยไส้ดินสอเปลือยไว้เพื่อสามารถนำไปทำการเหลาเป็นรูปร่างตามต้องการ
ภาพที่ 1.24 เครื่องเหลาดินสอกันลบ เป็นต้น กันลบ เป็นต้น
ภาพที่ 1.25 แปรงปัดเศษยางลบและอุปกรณ์ทำความสะอาด1.13 ยางลบ
ภาพที่1.26 ยางลบ 2.มาตรฐานในการเขียนแบบ 2.1 กระดาษเขียนแบบ(1 : 1.141) ดังแสดงในภาพที่ 2.1
ภาพที่ 2.1 แสดงวิธีการคำนวณหาขนาดของกระดาษ A0
กระดาษเขียนแบบ A0 ถ้านำไปแบ่งครึ่งออกไปเรื่อย ๆ กระดาษจะเล็กลงครึ่งหนึ่ง จากกระดาษมาตรฐาน A0 จะเปลี่ยนเป็นขนาด A1, A2, A3 และ A4 ตามลำดับ โปรดสังเกตกระดาษ A1 จะมีพื้นที่น้อยกว่ากระดาษ A0 จำนวน 1 เท่า และกระดาษ A2 จะมีพื้นที่น้อยกว่ากระดาษ A1 จำนวน 1 เท่า เป็นสัดส่วนลงไปเรื่อย ๆ ดังแสดงในภาพที่ 2.2
ภาพที่ 2.2 แสดงสัดส่วนของกระดาษเขียนแบบตามมาตรฐาน
2.2 การติดกระดาษ ในการติดกระดาษจะต้องติดกระดาษลงบนกระดาษเขียนแบบให้สนิท โดยใช้เทปกาว ควรวางตำแหน่งของกระดาษเขียนแบบให้ใกล้กับขอบซ้ายมือของกระดานเขียนแบบ เพื่อให้เกิดระยะผิดพลาดจากการเขียนแบบน้อยที่สุด
ภาพที่ 2.4 แสดงลักษณะและขนาดของตารางรายการของแบบ
ภาพที่ 2.5 แสดงลักษณะและขนาดของตารางรายการของแบบของกระดาษขนาด A3
ภาพที่ 2.6 ลักษณะของเส้นในการใช้งานเขียนแบบ
4. การเขียนตัวอักษรและตัวเลข ข้อมูลในการเขียนแบบซึ่งไม่สามารถแสดงเป็นรูปทรงโดยเส้นอาจแสดงโดยกำหนดขนาดเป็นตัวเลข ตัวอักษร ซึ่งจะให้รายละเอียดในแบบงานได้อย่างครบถ้วนและมีความหมายที่สมบูรณ์ การเขียนตัวเลขและตัวอักษรเขียนได้หลาย ๆ วิธี การเขียนด้วยมือ การเขียนด้วยอุปกรณ์โดยใช้แผ่นแม่แบบ เป็นต้น
ภาพที่ 4.7 การเขียนอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ตรงและตัวพิมพ์เล็กตรง
ภาพที่ 2.8 การเขียนอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่เอียงและตัวพิมพ์เล็กเอียง การเขียนตัวอักษรและตัวเลขไทย
ภาพที่ 2.10 แสดงอัตราส่วนระหว่างความกว้างต่อความสูงของตัวอักษรตัวตรง
ภาพที่ 2.11 แสดงอัตราส่วนระหว่างความกว้างต่อความสูงของตัวอักษรตัวเอียง
ภาพที่ 2.12 แสดงโครงสร้างของอักษรตัวพิมพ์เล็ก
ภาพที่ 2.13 แสดงขั้นตอนการเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็ก
ภาพที่ 2.14 มาตราส่วนเต็ม 1 :1
ภาพที่ 2.15 มาตราส่วน 1 :2
ภาพที่ 2.16 มาตราส่วนขยาย 2:1
ตารางแสดงการเปรียบเทียบมาตราส่วน
มาตราส่วน
ขนาดงานจริง
|
ขนาดที่เขียนลงในแบบงาน
| ||||||
1 :1
|
2 :1
|
5 :1
|
10 :1
|
1 :2
|
1 :5
|
1 :10
| |
10
|
10
|
20
|
50
|
100
|
5
|
2
|
1
|
20
|
20
|
40
|
100
|
200
|
10
|
4
|
2
|
30
|
30
|
60
|
150
|
300
|
15
|
6
|
3
|
ภาพที่ 3.1 แสดงการนำเอารูปทรงเรขาคณิตมาใช้ในงานเขียนแบบ
ภาพที่ 3.3 การเขียนเส้นขนานโดยการใช้วงเวียนเขียนส่วนโค้ง ขั้นตอนการสร้าง· ลากเส้นตรงหรือเส้นโค้งตามระยะที่กำหนด· กางวงเวียนให้ได้ระยะเท่ากับระยะห่างระหว่างเส้นขนานสองเส้น· ใช้จุดศูนย์กลาง 2 จุดหรือหลายจุด บนเส้นตรงหรือเส้นโค้ง ให้มีระยะห่างกันพอสมควร เขียนส่วนโค้งตามที่ต้องการ· ใช้บรรทัดสามเหลี่ยมหรือไม้ที ลากเส้นสัมผัสส่วนโค้ง จะได้เส้นตรงอีกเส้นหนึ่งที่ขนานกับเส้นเดิม 3.1.2 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสเส้นตรงที่ทำมุมกัน สามารถสร้างได้หลายวิธี ดังนี้ วิธีที่ 1 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสเส้นตรงที่ทำมุมเป็นมุมฉาก
ภาพที่ 3.4 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสเส้นตรงที่ตั้งฉากกัน ขั้นตอนการสร้าง· เขียนเส้นตรง 2 เส้น ทำมุมฉากซึ่งกันและกัน· กางวงเวียนให้ได้รัศมีเท่ากับรัศมีของส่วนโค้งที่จะทำการสร้าง· ใช้จุด B เป็นจุดศูนย์กลาง เขียนส่วนโค้งตัดกับเส้นทั้งสองที่จุด D และจุด E · ใช้ จุด D และจุด E เป็นจุดศูนย์กลาง กางวงเวียนรัศมีเท่าเดิม เขียนส่วนโค้งสัมผัสกับแขนเส้นประกอบมุมฉากทั้งสองข้าง วิธีที่ 2 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสเส้นที่ไม่ใช่มุมฉาก
ภาพที่ 3.5 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสเส้นที่ไม่ใช่มุมฉาก ขั้นตอนการสร้าง· เขียนเส้นตัดทำมุมกันตามที่กำหนด· กางวงเวียนรัศมีเท่ากับส่วนโค้งที่จะทำการสร้าง เขียนส่วนโค้ง· ลากเส้นสัมผัสส่วนโค้งขนานกับเส้นที่ทำมุมกันทั้งสองข้าง· ลากเส้นเริ่มต้นที่จุดตัดของส่วนโค้งให้ตั้งฉากกับเส้นทั้งสอง· ใช้จุดตัดของเส้นขนานเป็นจุดศูนย์กลาง เขียนส่วนโค้งสัมผัสเส้นทั้งสอง 3.1.3 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสระหว่างส่วนโค้งกับเส้นตรง
ภาพที่ 3.6 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสระหว่างส่วนโค้งกับเส้นตรง ขั้นตอนการสร้าง· เขียนส่วนโค้งและเส้นตรงตามขนาดที่กำหนด· เขียนส่วนโค้งโดยใช้จุดศูนย์กลางเดียวกับส่วนโค้งที่กำหนด โดยใช้รัศมีของส่วนโค้งที่กำหนด (R1) บวกกับรัศมีส่วนโค้งที่จะทำการสร้าง (R2)· สร้างเส้นขนานกับเส้นตรงให้ตัดกับส่วนโค้งที่สร้างขึ้นมา· เขียนเส้นตรงโดยมีจุดเริ่มต้นที่ส่วนที่ตัดกันและให้ตั้งฉากกับส่วนโค้งและเส้นตรงที่กำหนด· ใช้จุดตัดระหว่างส่วนโค้งกับเส้นตรงเป็นจุดศูนย์กลางเขียนส่วนโค้งสัมผัสส่วนโค้งและเส้นตรง 3.1.4 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสส่วนโค้ง 2 เส้น
ภาพที่ 3.7 แสดงการสร้างส่วนโค้งสัมผัสส่วนโค้ง 2 เส้น
ภาพที่ 3.8 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสล้อมรอบส่วนโค้ง 2 เส้น
ภาพที่ 3.9 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสส่วนบนและส่วนล่างของส่วนโค้ง 2 เส้น
ภาพที่ 3.10 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสเส้นตรง 3 เส้น
ภาพที่ 3.11 การสร้างส่วนโค้งสัมผัสเส้นตรงที่ขนานกัน 2 เส้น
ภาพที่ 3.12 การสร้างรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า
ภาพที่ 3.13 การสร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสโดยใช้วงเวียน
ภาพที่ 3.14 การสร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสโดยใช้บรรทัดสามเหลี่ยม
ภาพที่ 3.15 การสร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตามแนวทแยงมุมนอกวงกลม
ภาพที่ 3.16 การสร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตามแนวทแยงมุมในวงกลม ขั้นตอนการสร้าง· สร้างวงกลมโดยให้เส้นผ่าศูนย์กลางมีขนาดเท่ากับความยาวของเส้นทแยงมุมรูปสี่เหลี่ยม· ลากเส้นตรงต่อถึงกัน โดยใช้จุดตัดระหว่างเส้นรอบวงกับเส้นผ่าศูนย์กลางของวงกลม เป็นจุดกำหนดระยะ3.5 การสร้างรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่า
ภาพที่ 3.17 แสดงการสร้างรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่า
ภาพที่ 3.18 แสดงการสร้างรูปหกเหลี่ยมด้านเท่าภายในวงกลม
ภาพที่ 3.19 แสดงการสร้างรูปหกเหลี่ยมล้อมรอบวงกลม
ภาพที่ 3.20 แสดงการสร้างรูปแปดเหลี่ยมด้านเท่าในวงกลม
ภาพที่ 3.21 แสดงการสร้างรูปแปดเหลี่ยมด้านเท่าจากรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ภาพที่ 3.22 แสดงการสร้างวงรีด้วยวงแหวน 2 วง
ภาพที่ 3.23 แสดงการสร้างวงรีในสี่เหลี่ยมมุมฉากและสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
ภาพที่ 4.1 แสดงส่วนประกอบต่าง ๆ ของการกำหนดขนาด 4.2 ข้อกำหนดในการนำส่วนต่าง ๆ ของการกำหนดขนาดไปใช้งาน 4.2.1 เส้นกำหนดขนาด ข้อกำหนดของเส้นกำหนดขนาด 1. เป็นเส้นเต็มบาง
ภาพที่ 4.2 แสดงลักษณะของเส้นกำหนดขนาด
ภาพที่ 4.4 แสดงหัวลูกศรทึบทั้งสองด้าน 5. ในกรณีที่พื้นที่ในการกำหนดขนาดน้อยเกินไปให้เขียนหัวลูกศรไว้ด้านนอก
ภาพที่ 4.5 การเขียนหัวลูกศรในกรณีที่มีพื้นที่การเขียนน้อย 4.2.2 เส้นช่วยกำหนดขนาด ข้อกำหนดของเส้นช่วยกำหนดขนาด1. เป็นเส้นเต็มบาง
ภาพที่ 4.6 แสดงลักษณะของเส้นช่วยกำหนดขนาด
ภาพที่ 4.7 ส่วนปลายของเส้นช่วยกำหนดขนาด 3. เส้นช่วยกำหนดขนาดแต่ละเส้นจะขนานกันและต้องทำมุมตั้งฉากกับเส้นกำหนดขนาด
ภาพที่ 4.8 แสดงตำแหน่งของเส้นช่วยกำหนดขนาด
ภาพที่ 4.9 แสดงการใช้เส้นผ่าศูนย์กลางของวงกลมเป็นเส้นช่วยกำหนดขนาด
ภาพที่ 4.10 การลากเส้นช่วยกำหนดขนาดทำมุม 60 องศา
ภาพที่ 4.11 แสดงหัวลูกศรที่ใช้ในการกำหนดขนาด
ความยาวของหัวลูกศรมีค่าเป็น 5 เท่าของความหนาเส้นขอบชิ้นงาน สมมุติให้ความหนาของเส้นขอบชิ้นงานมีค่า = a ดังนั้น ความยาวของหัวลูกศรมีค่า = 5a ภาพที่ 4.12 ขนาดต่าง ๆ ของหัวลูกศร
ภาพที่ 4.13 แสดงหัวลูกศรที่ระบายสีดำทึบทั้งสองด้าน
ภาพที่ 4.14 แสดงขนาดและการเขียนตัวเลขกำหนดขนาด
ภาพที่ 4.15 การเขียนตัวเลขกำหนดขนาดและเส้นกำหนดขนาด
ภาพที่ 4.16 แสดงการเขียนตัวเลขในการกำหนดขนาดที่ไม่ได้มาตราส่วนจริง
ภาพที่ 4.17 แสดงการเขียนตัวเลขกำหนดขนาดที่ต้องการตรวจสอบขนาดเป็นพิเศษ
ภาพที่ 4.18 แสดงการเขียนสัญลักษณ์บอกรูปร่างชิ้นงานหน้าตัดวงกลม
|
ภาพที่ 4.19 แสดงการกำหนดขนาดชิ้นงานที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยม
|
ภาพที่ 4.20 แสดงการกำหนดขนาดชิ้นงานที่มีรูปร่างเป็นทรงกลม
|
ภาพที่ 4.21 แสดงการเขียนเส้นกำหนดขนาดและเส้นช่วยกำหนดขนาด 2. การกำหนดระยะในกรณีที่เส้นช่วยกำหนดขนาดมีความต่อเนื่องกัน ในการเขียนเส้นช่วยกำหนดขนาด จะต้องเขียนอยู่ในระดับเดียวกันตลอด
ภาพที่ 4.22 แสดงการกำหนดขนาดแบบต่อเนื่อง
ภาพที่ 4.23 แสดงการกำหนดขนาดจากน้อยไปมาก
ภาพที่ 4.24 แสดงการกำหนดขนาดด้านที่มองเห็นชัดเจน
ภาพที่ 4.25 แสดงการกำหนดขนาดที่ใช้ขอบงานช่วย
ภาพที่ 4.26 แสดงการกำหนดขนาดชิ้นงานเนื้อที่จำกัด
ภาพที่ 4.27 แสดงการกำหนดขนาดวงกลมหรือส่วนโค้ง
ภาพที่ 4.28 แสดงการกำหนดขนาดในพื้นที่แสดงลายตัด
ภาพที่ 4.29 แสดงการกำหนดขนาดชิ้นงานที่สมมาตรกัน
ภาพที่ 4.30 แสดงการกำหนดขนาดผิวงานเอียง จากข้อกำหนดต่าง ๆ และส่วนประกอบของการกำหนดขนาดที่ได้กล่าวมาแล้ว ล้วนแต่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในงานเขียนแบบ ดังนั้น ในการที่จะนำเอาส่วนต่าง ๆ มาใช้งานในการเขียนแบบจะต้องนำมาใช้ให้ตรงตามข้อกำหนด เพื่อให้แบบงานมีความถูกต้องชัดเจนตรงตามมาตรฐาน ของการเขียนแบบ
ภาพที่ 4.31 แสดงการกำหนดขนาดในแบบงานจริง
ภาพที่ 4.32 เปรียบเทียบขนาดของวัตถุที่ใช้ในการเขียนแบบและขนาดจริงของวัตถุ
|
ภาพที่ 4.33 แสดงการเปรียบเทียบขนาดที่ใช้ในการเขียนแบบและขนาดจริงของวัตถุใน
ภาพที่ 4.34 เปรียบเทียบขนาดที่ใช้ในการเขียนแบบและขนาดจริงของวัตถุในมาตราส่วนขยาย
ภาพที่ 4. 35 เปรียบเทียบขนาดของแบบงานที่ใช้มาตราส่วนในแต่ลักษณะ
ความหมายของการสเกตภาพ
การสเกตภาพ หมายถึง การเขียนภาพโดยไม่ใช้เครื่องมือเขียนแบบช่วย จะเขียนภาพโดยใช้มือเปล่า (FREE HAND) โดยการลากเส้นขึ้นเป็นชิ้นงานอย่างหยาบ ๆ จากความคิดหรือจินตนาการของวิศวกรผู้ออกแบบ เพื่อนำไปใช้เขียนแบบที่มีรายละเอียดต่าง ๆ สมบูรณ์ตามมาตรฐานต่อไป
ดินสอที่ใช้ในการสเกตภาพนั้นควรใช้เกรด HB หรือ F โดยจับดินสอให้ห่างจากปลายดินสอประมาณ 30-40 มิลลิเมตรขณะที่ลากเส้นสเกตภาพควรหมุนดินสอตามไปด้วย เพื่อทำให้ปลายดินสอแหลมอยู่เสมอ ทำให้เส้นที่ลาดคม ชัดเจน นำหนักของเส้นที่ใช้ในการลากเส้น ในการสเกตภาพมี 2 ระดับคือ
เส้นหนัก ใช้เขียนเส้นรอบรูป เส้นประ เส้นแนวตัด
เส้นเบา ใช้เขียนเส้นศูนย์กลาง เส้นบอกขนาด เส้นช่วยบอกขนาด
ลักษณะการจับดินสอในการสเกตภาพ
การลากเส้นในการสเกตภาพ
สำหรับผู้ที่มีความชำนาญอาจจะใช้กระดาษธรรมดาทำการสเกตรูปงาน ส่วนที่ยังไม่มีความชำนาญควรทำการสเกตภาพลงบนกระดาษ สำหรับใช้ในงานสเกตภาพ โดยเฉพาะจะทำให้การลากเส้นต่าง ๆ ของงาน และสัดส่วนของภาพถูกต้อง โดยกระดาษสำหรับใช้งานสเกตภาพจะพิมพ์เป็นตาราง ซึ่งจะทำให้การสเกตภาพสะดวกขึ้น
การลากเส้นตรง
การลากเส้นตรงสำหรับการสเกตภาพ เป็นการลากเส้นโดยใช้ความชำนาญของผู้ปฏิบัติงาน จึงควรปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ เส้นตรงที่ใช้ในงานสเกตภาพมีหลายลักษณะดังนี้
เส้นตรงในแนวนอน การลากเส้นตรงในแนวนอน ควรต้องกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้าย แล้วจึงลากเส้นจากทางซ้ายมือไปทางขวามือ ถ้าต้องการลากเส้นที่มีความยาวมากควรลากเส้นสั้น ๆ ต่อ ๆ กันจะง่ายกว่าการลากเส้นยาว
เส้นตรงแนวดิ่ง การลากเส้นตรงแนวดิ่ง ควรลากเส้นจากบนลงมาล่าง โดยใช้นิ้วแตะขอบกระดานสเกตจะช่วยทำให้ลากเส้นแนวดิ่งมีความตรงมากขึ้น
เส้นตรงแนวเฉียง การลากเส้นตรงแนวเฉียงมีวิธีการลากเส้นเช่นเดียวกับการลากเส้นตรงแนวนอน ควรกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายแล้วจึงลากเส้นตรงแนวเฉียง เริ่มจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบนได้ทั้ง 2 วิธี
การลากเส้นโค้งหรือวงกลม
การลากเส้นโค้งหรือกลม นับว่าเป็นการเขียนที่ยากมาก ดังนั้นจึงต้องมีการฝึกหัดและเขียนอยู่อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ และปฏิบัติได้โดยไม่ยากนัก การลากเส้นโค้งหรือวงกลมสามารถทำได้หลายวิธี
การสเกตวงกลมวิธีที่ 1 โดยเขียนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หาจุดกึ่งกลางของด้านที่วงกลมสัมผัส ลากเส้นทแยงมุม กำหนดจุดประมาณที่เส้นรอบวงจะผ่านบนเส้นทแยงมุม จากนั้นเขียนส่วนโค้งผ่านจุดที่กำหนด จะเกิดเป็นรูปวงกลม
การสเกตภาพวงกลมจากรูปสี่เหลี่ยม
การสเกตวงกลมวิธีที่ 2 โดยการลากเส้นผ่าศูนย์กลาง แล้วกำหนดจุดประมาณที่เส้นรอบวงของวงกลมจะผ่าน เขียนส่วนโค้งผ่านจุดที่กำหนดจะเกิดเป็นรูปวงกลม
การสเกตภาพวงกลมจากเส้นผ่าศูนย์กลาง
การสเกตวงกลมวิธีที่ 3 โดยการใช้กระดาษวัดระยะรัศมีที่ต้องการเขียนบนกระดาษแล้วนำไปทาบบนกระดาษสเกต โดยให้ด้านหนึ่งอยู่ที่จุดศูนย์กลาง อีกด้านอยู่ที่เส้นรอบวงหมุนกระดาษไปแล้วทำจุดเส้นประไปจนครบวงกลม แล้วจึงลงเส้นหนักตามแนวเส้นประ จะเกิดเป็นรูปวงกลม
การสเกตภาพวงกลมโดยใช้กระดาษ
การสเกตวงกลมวิธีที่ 4 โดยหาหมุนกระดาษสเกต ทำได้โดยใช้ปลายนิ้วก้อยจรดที่จุดศูนย์กลาง แล้วใช้มืออีกข้างหมุนกระดาษสเกตไปเรื่อย ๆ จนได้รูปวงกลมตามต้องการ
การสเกตภาพวงกลมโดยการหมุนกระดาษ
การสเกตวงกลมโดยใช้ดินสอ การสเกตวงกลมวิธีนี้จะใช้ดินสอ 2 แท่ง โดยให้ดินสอจรดที่จุดศูนย์กลาง ดินสออีกแท่งกำหนดที่ขีดเส้นรอบวงของวงกลมแล้วหมุนกระดาษไปเรื่อย ๆ จะเกิดเป็นรูปวงกลม
การสเกตภาพวงกลมโดยใช้ดินสอสองแท่ง
สเกตวงกลมขนาดใหญ่ โดยใช้นิ้วมือเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลม เช่นเดียวกับวงเวียนเขียนแบบ
การสเกตวงรี
การสร้างวงรีโดยเขียนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ให้มีขนาดความกว้าง ความยาว เท่ากับขนาดของวงรีที่ต้องการ แบ่งครึ่งที่ด้านทั้งสี่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่จุดกึ่งกลางของเส้น แล้วลากเส้นโค้งให้ต่อกันเป็นวงรี
การสเกตวงรี
การสเกตภาพสามมิติ
การสเกตภาพสามมิติ มีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดข้อมูลจากความคิดหรือจินตนาการของวิศวกรผู้ออกแบบให้เป็นภาพสามมิติ เพื่อให้ช่างเขียนแบบสามารถเห็นรูปร่างของงานได้ทั้ง ความกว้าง ความยาว และความหนา การสเกตภาพสามมิตินี้สามารถทำได้ทั้งแบบไอโซเมตริกและแบบออบลิค ขึ้นอยู่กับลักษณะการวางชิ้นงาน
การสเกตภาพออบลิคจากภาพสามมิติ
1. สเกตภาพด้านหน้าตามที่กำหนด
2. สเกตภาพตามความลึกของชิ้นงานทำมุม 45 องศา กับแนวนอน
3. ลบเส้นร่างที่ไม่ใช้ออกจากรูปงาน
4. ลงเส้นเต็มหนักที่เส้นขอบรูป
แสดงลำดับภาพการสเกตภาพออบลิค
การสเกตออบลิคจากภาพฉาย
1. เขียนรูปกล่องสี่เหลี่ยมตามหลักการเขียนภาพ OBLIQUE โดยมีขนาดกำหนด
2. สเกตรายละเอียดต่าง ๆ ตามภาพฉาย
3. ลบเส้นที่ร่างออก แล้วลงเส้นเต็มหนักของขอบชิ้นงาน
แสดงลำดับเส้นการสเกตภาพ OBIQUE จากภาพฉาย
การสเกตภาพไอโซเมตริกจากภาพสามมิติ
1. เขียนรูปกล่องสี่เหลี่ยมโดยวางภาพลักษณะไอโซเมตริก
2. แบ่งระยะเขียนรายละเอียดของภาพให้ครบตามแบบงานที่กำหนด
3. ลบเส้นที่ไม่ใช้ออกจากแบบรูปงาน
4. ลงเส้นเต็มหนักที่เส้นขอบงาน
แสดงลำดับขั้นตอนสเกตภาพจากภาพสามมิติ
การสเกตภาพไอโซเมตริกจากภาพฉาย
1. เขียนรูปกล่องสี่เหลี่ยมมีขนาดกรอบนอกของรูปตามภาพฉาย โดยวางแกนภาพตามหลัก ISOMETRIC
2. สเกตผิวหน้างานด้านต่าง ๆ ตามรายละเอียดในภาพฉาย
3. ลบเส้นที่ไม่ใช้ออกจากรูปงาน
4. ลงเส้นเต็มหนักที่เส้นขอบงาน
แสดงลำดับขั้นการสเกตภาพจากภาพฉาย





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น